วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556


การเบื่อเรียน
 

1.โรคเบื่อเรียน หมายถึง ความไม่พอใจ จำเจ ซ้ำซากพฤติกรรม หรืออาการ เบื่อหน่ายที่จะเรียนเกิดจากการสะสมความไม่อยากเรียนทีละน้อย จนมากถึงจุดสุดจะทนทาน หรือทนไม่ไหวไม่มีแรงจูงใจที่จะเรียนจนเป็นสาเหตุให้เกิดการเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องและไม่อยากเรียนในที่สุด

2.ลักษณะของพฤติกรรมเบื่อเรียน

            2.1 ไม่ค่อยเข้าเรียน

            2.2 ไม่ค่อยส่งงานที่ได้รับมอบหมายตามเวลาที่กำหนด

            2.3 เมื่อเข้าห้องเรียนมักจะนั่งอยู่เฉยๆไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

            2.4 ไม่มีส่วนร่วมกิจกรรมในชั้นเรียน

            2.5 ไม่สนใจในการสอนของครู

3.สาเหตุของพฤติกรรมเบื่อเรียน

            3.1สาเหตุจากตัวผู้เรียนเอง

                        3.1.1 ผู้เรียนไม่ชอบในการเรียน และไม่อยากเรียนอยู่แล้ว

                        3.1.2 ผู้เรียนอาจจัดว่าอยู่ในระดับปัญญาสูงกว่าปกติมากๆ เขาจึงมีความคิดโตเกินวัย สิ่งที่คุณครูสอนทำให้เขาเบื่อหน่ายเนื่องจากเขารู้หมดแล้ว แยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อน ชอบเล่นคนเดียว มักหากิจกรรมที่เขาชอบทำเพียงลำพัง ซึ่งเด็กกลุ่มนี้อาจมีพรสวรรค์ทางด้านอื่นๆ นอกจากการเรียน

                        3.1.3 ผู้เรียนอาจมีความผิดปกติทางสมอง เช่น ไม่สามารถพูด สะกดคำศัพท์ อ่าน เขียน หรือคิดเลขได้แม้ว่าระดับ IQ. ของเขาจะพอๆ กับเด็กอื่นๆ จึงทำให้เขาอาจไม่เหมาะกับชั้นเรียนปกติ

       3.1.4 เด็กอาจมีความผิดปกติทางสายตาหรือการได้ยิน ซึ่งทำให้เป็น

อุปสรรคในการเรียนเลยทำให้เด็กไม่อยากที่จะเรียน

       3.1.5 เป็นไปได้ว่าผู้เรียนเองอาจมีอารมณ์ที่ไม่พร้อมที่จะเรียนรู้ เขาอาจซึมเศร้า  ก้าวร้าว หงุดหงิด เก็บกด เหม่อลอย ซึ่งทำให้เขาไม่สนใจการเรียน

3.2 สาเหตุจากตัวคุณครูผู้สอน

       3.2.1 คุณครูสอนไม่สนุก ไม่มีเทคนิคในการสอนทำให้เด็กรู้สึกเบื่อไม่อยากเรียน

       3.2.1 ครูผู้สอนไม่สนใจเด็กอย่างทั่วถึงทำให้เด็กรู้สึกไม่มีแรงเสริมที่จะเรียน

เกาหลีใต้กับ ร.ร.ไร้กระดาษ

     การพัฒนาตัวเองเพื่อให้ได้เป็นมหาอำนาจทางด้านอุตสาหกรรมไอทีของเกาหลีใต้เป็นเรื่องมหัศจรรย์ จากผลงานส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตจนได้เป็นประเทศที่มีอัตราการเข้าถึงสูงที่สุด ขณะนี้เกาหลีใต้กำลังเตรียมแสดงพลังการเป็นผู้นำด้วยการก่อตั้งและวางระบบ
โรงเรียนไร้กระดาษ คำนี้มาจากคำภาษาอังกฤษ paperless school หมายถึง โรงเรียนที่ไม่ต้องใช้กระดาษทั้งในการสอนและการเรียน เวลาไปโรงเรียนเด็กจะถือคอมพิวเตอร์แบบแทบเล็ต ส่วนครูเวลาอยู่ในห้องเรียนจะถือแผงรีโมตคอยกดปุ่มแจกแจงบทเรียนให้นักเรียนได้เรียน
ที่สำคัญไม่แพ้กันคือระบบโรงเรียนไร้กระดาษยังอาจแปรสภาพเป็นโรงเรียนเสมือนจริง เพื่อให้เด็กที่ไม่สามารถไปโรงเรียนได้เรียนเหมือนเพื่อนร่วมชั้น ซึ่งในกรณีนี้ยังรวมถึงเด็กพิการที่ไม่สามารถไปเรียนในโรงเรียนปรกติได้
รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศแผนงานก่อตั้งระบบโรงเรียนไร้ กระดาษเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา เป้าหมายคือ เมื่อถึงปี 2558 หรือ 4 ปีข้างหน้า นักเรียนทุกคนจะไม่ต้องถือสมุดและหนังสือไปโรงเรียน เช่นเดียวกับโรงเรียนที่ไม่ต้องมีสมุดและหนังสือไว้คอยบริการ
เพราะหนังสือทุกเล่มที่ใช้สอนในโรงเรียนจะถูกเก็บไว้ในรูปแบบดิจิตอล ใครอยากอ่านเพียงกดปุ่มโปรแกรมหนังสือเรียนบน จอแทบเล็ต เมื่อค้นหนังสือได้แล้วก็เปิดหน้าที่ต้องการอ่าน เช่นเดียวกันถ้าต้องการเขียนก็กดปุ่มโปรแกรมสมุดแล้วเปิดหน้าที่ต้อง การเขียน เขียนเสร็จก็กดปุ่มโปรแกรมส่งรายงานให้ส่งไปยังผู้รับ
ฟังแล้วง่ายแต่จริงๆยาก ความยากอันดับแรกคือ การรวบรวมหนังสือและตำราเรียนทุกเล่มมาถ่ายทอดเป็นตัวอักษรดิจิตอล หลังจากนั้นเข้าไปดูหนังสือและตำราอ้างอิง รวมทั้งที่ส่งเสริมความรู้และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเรียนการสอนแล้วจึงนำไปถ่ายทอดเป็นตัวอักษรดิจิตอล
ต่อจากนั้นข้อมูลจะถูกนำไปเก็บไว้ที่การบริการข่าวสารการวิจัยและการศึกษาแห่งเกาหลี (Korea Education and Research Information Service) ซึ่งที่นี่จะมีเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่มากเป็นตัวเก็บรับและส่งข้อมูลไปยังโรงเรียนที่ต้อง การผ่านระบบสื่อสารที่ทันสมัยที่สุดของโลก รวมทั้งระบบไว-ไฟ ทุกซอกทุกมุมของโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนและครูสามารถเข้าถึง ข้อมูลได้ในพริบตา
ทั้งหมดนี้รัฐบาลเกาหลีใต้ตั้งงบประมาณไว้แล้วที่ 2.2 ล้านล้านวอน คิดเป็นเงินไทยราว 60,000 ล้านบาท ถามว่าคุ้มไหม คุ้มอันดับแรกคือ ชื่อเสียงเกาหลีใต้ในฐานะประเทศแรกในโลกที่จัดทำระบบโรงเรียนไร้กระดาษ ซึ่งอาจต่อยอดเป็นสถานที่ดูงานสำหรับประเทศที่สนใจ
คุ้มอันดับสองคือ โอกาสของเกาหลีใต้ที่จะพัฒนาเครื่องและอุปกรณ์ที่ใช้กับระบบ เรื่องนี้ถ้าดูฝีมือเกาหลีใต้ตอนนี้ใน การออกโทรศัพท์อัจฉริยะและคอมพิวเตอร์พกพาบางเบา มีความเป็นไปได้ที่ต่อไปเราจะเห็นเครื่องและอุปกรณ์ที่สามารถสอนมนุษย์ให้รู้ทุกอย่างและทำได้ตามที่ต้องการโดยไม่ต้องไปเรียนในห้องเรียน
ยกตัวอย่างชาวนาที่อยากรู้วิธีทำนาแบบใหม่ รวมทั้งวิธีซ่อมยวดยานและเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำนา ปัจจุบันต้องเรียนแบบค่อยๆเรียน และเรียนแล้วรู้บ้างไม่รู้บ้าง แต่ต่อไปอาจได้เรียนทันทีและเรียนแล้วรู้จริง
ถ้าต้องการสอบรับใบรับรองยังทำได้อีก เพราะระบบมีกลไกตรวจสอบการเรียนและนับเวลาเรียนผ่านการเคลื่อนไหวของนิ้วมือผู้เรียนขณะเรียน
ทั้งหมดนี้จะทำให้เกาหลีใต้ได้เป็นเจ้าวิทยาการการทำ งานผ่านระบบคอมพิวเตอร์บนก้อนเมฆ หรือ cloud computing และนี่เป็นความคุ้มสุดท้าย จากการที่ต่อไปเวลาชาวโลกทำงานจะไม่ทำในสำนักงานอีกต่อไป แต่จะขึ้นไปทำในศูนย์ที่ให้บริการดังกล่าว โดยเป็นการทำงานที่ทำขั้นตอนเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ
ม่ต้องทำทีละขั้นตอนและส่งต่อให้ปวดหัวและเสียเวลาอย่างที่ทำมานานตราบจนทุกวันนี้
ณ สันมหาพล worldtoday@watta.co.th
ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้  ภาพจาก http://www.prachatalk.com